top of page
Search

รู้ทันโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis)

Updated: Aug 26, 2023


blog-rheumatoid

รูมาตอยด์..โรคที่เกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยจากสถิติจะพบมากในช่วงอายุ 30 - 50 ปี และอัตราการเกิดโรคนี้จะพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย หากคุณมีอาการปวดบริเวณข้อนานติดต่อกันเกิน 40 วัน หรือ 6 สัปดาห์ คุณควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเข้ารับการรักษา แล้วคุณรู้หรือไม่ สาเหตุที่แท้จริงของโรครูมาตอยด์คืออะไร? เรามาหาคำตอบกัน


โรครูมาตอยด์คืออะไร?

โรครูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) คือโรคที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของข้อต่อ หรือเยื่อหุ้มข้อ โรคนี้จัดอยู่ในกลุ่มของโรคภูมิคุ้มกันต้านตนเอง (Autoimmune Disease) โดยจะส่งผลกระทบมากบริเวณข้อนิ้วมือและข้อนิ้วเท้า หากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน บริเวณข้อต่อจะถูกทำลายจนข้อมีลักษณะผิดรูป และอาจรุนแรงถึงขั้นพิการได้


อาการของโรครูมาตอยด์

  • อาการในระยะเริ่มต้นจะมีอาการปวด ตึง ข้อฝืดแข็ง และบวมบริเวณข้อต่อ ในระยะเริ่มต้นผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บบริเวณข้อใดข้อหนึ่ง โดยผู้ป่วยมักจะมีอาการตึง และเจ็บข้อในตอนเช้าหลังตื่นนอน นานกว่า 30 นาที

  • อาการในระยะข้ออักเสบรุนแรง เมื่อกดบริเวณข้อจะรู้สึกเจ็บ มีลักษณะบวม แดง และอุ่น เมื่อขยับช่วงข้อบริเวณนั้นจะมีอาการปวดมากขึ้น มักเกิดร่วมกับอาการเบื่ออาหาร มีไข้ อ่อนแรง หรือเหนื่อยล้า ในระยะนี้จะมีอาการอักเสบลามไปยังข้อต่ออื่นๆทั่วร่างกาย เช่น ข้อไหล่ ข้อศอก ข้อสะโพก ข้อเข่า ข้อเท้า และข้อนิ้วเท้า


สาเหตุของโรครูมาตอยด์

เกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีการต่อต้านเนื้อเยื่อภายในร่างกาย ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุใด แต่มีการสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากความผิดปกติของยีนส์ในร่างกาย โดยมีปัจจัยเหล่านี้เป็นตัวกระตุ้น:

  • เชื้อไวรัส และแบคทีเรีย

  • ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์

  • ฮอร์โมน

  • ความเครียด

  • สูบบุหรี่


การรักษาและบรรเทาอาการปวดของโรครูมาตอยด์

การรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์สามารถช่วยลดการอักเสบในข้อต่อ บรรเทาอาการปวด ป้องกันหรือชะลอความเสียหายของข้อต่อ แม้ว่าจะไม่มีวิธีรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่ทำให้หายขาดในปัจจุบัน แต่การรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถลดความเสี่ยงของความเสียหายของข้อต่อและจำกัดผลกระทบของอาการได้


1. การรักษาแบบใช้ยาต้าน ต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น โดยต้องมีการรับประทานอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์

  • DMARDs (Disease Modifying Antirheumatic Drugs; DMARDs) ยาต้านการอักเสบกลุ่มสเตียรอยด์ เช่น prednisolone

  • NSAIDs (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs) ยาต้านการอักเสบกลุ่มไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ibuprofen, naproxen, diclofenac

  • Pain Killers เช่น พาราเซตามอล, codeine เพื่อบรรเทาอาการปวด

  • ฉีดยาเพื่อบรรเทาอาการปวด


2. การรักษาแบบไม่ใช้ยา

  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ใช้ข้อหรือส่งผลเสียโดยตรงกับข้อ เช่น ยกของหนัก, นั่งขัดสมาธิ, การนั่งยอง, กระโดด

  • ควบคุมน้ำหนัก (หากน้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐาน)

  • กายภาพบำบัดและออกกำลังกายด้วยการเดินและว่ายน้ำ

  • การใส่อุปกรณ์พยุงข้อจะช่วยบรรเทาอาการปวดและทำกิจกรรมต่างๆได้ดีขึ้น

  • การฝังเข็ม, การบำบัดด้วยวิธีจับกระดูกสันหลัง, การนวด ยังไม่มีหลักฐานอ้างอิงบ่งชัดทางการแพทย์ในระยะยาวว่าจะทำให้หายขาดจากรูมาตอยด์ แต่ในบางรายอาจเห็นผลที่ดีขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น




 
 
 

Comments


bottom of page